วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2557

ภูฏาน: ดินแดนแห่งความสดชื่น ร่มรื่น เรียบง่าย และศรัทธา ตอนที่ 1

KOU SOU ZANG PO...BHUTAN...
วัดคิชู...พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ พาโร...พาโร ซอง...

ปลายเดือนสิงหาคม 2557 มีโอกาสเดินทางไปประเทศภูฏาน ประเทศในฝันมานานนับสิบปี (ด้วยความอุปถัมภ์ของเจ้าภาพผู้มีอุปการคุณ) ตั้งแต่มีโอกาสเห็นวัฒนธรรมและพุทธศาสนาในดินแดนอินเดีย เนปาล จีน เห็นการแต่งกายด้วยชุดสีแดงของลามะ
การกราบอัษฏางคประดิษฐ์ วงล้อมนต์ตรา Singing Bowl สร้อยประคำ และอุปกรณ์นานาชนิดที่พุทธศาสนิกชนใช้ในการภาวนา

ปีนี้เป็นปีครบรอบความสัมพันธ์ไทย-ภูฏาน 25 ปี เป็นโอกาสดีที่รัฐบาลภูฏาน สนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยวแก่ชาวไทย ย้ำ! เฉพาะชาวไทยเท่านั้น...แอบภูมิใจเล็กๆ ที่เกิดเป็นคนไทย...

สายการบินจากประเทศไทยไปภูฏาน คือ ดรุกแอร์ (Druke Air) ซึ่งเป็นสายการบินประจำชาติ และ สายการบินภูฏาน (Bhutan Airlines) บินจากประเทศไทยด้วยเวลาไล่เลี่ยกัน ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมง เวลาของภูฏานจะช้ากว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง โดยปกติจะแวะที่สนามบินในประเทศอินเดียประมาณ 30-60นาที เพื่อส่งผู้โดยสาร ที่กัลกัตตา ขาไป และขากลับ แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ลงจากเครื่องบิน  รายการทูไนท์โชว์ บอกว่าแต่ละเที่ยวบินจุผู้โดยสารได้ประมาณ 130 คน  (เท่าที่ดูด้วยสายตาน่าจะเกิน แต่ก็ไม่มาก) จึงทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่จะไปภูฏานนั้นจะถูกจำกัดด้วยความจุของเครื่องบินไปโดยปริยาย

21 สิงหาคม 2557 : วันแรก จากท่าอากาศยานนานาชาติ สุวรรณภูมิ เที่ยวบิน B3701 เหินฟ้าสู่ สนามบินนานาชาติ พาโร ประเทศภูฏาน (สำนวนเหมือนบริษัททัวร์มั้ยคะ) ออกเดินทางประมาณ 6.30 น. ถึง เวลาประมาณ 10.10 น. (เวลาท้องถิ่น)





พาหนะที่จะนำไปสู่ ภูฏาน เที่ยวบิน 3701




สิ่งแรกที่ทุกคนมองหา และทุกคนมองเห็น เมื่อลงจากเครื่องบิน



พระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก
และ สมเด็จพระราชินีเจตชุน เพมา วังชุก ณ สนามบินนานานชาติ พาโร
รถบรรทุกสัมภาระนักท่องเที่ยว เน้นประโยชน์ใช้สอยจริงๆ (คนขวาที่ถือกระเป๋าสีม่วง คือ คุณคาจิ เป็นเจ้าของบริษัท หิมาลายัน ทัวร์ เป็นชาวเนปาล มีบริษัทที่เนปาลและไทย มีภรรยาเป็นชาวสุโขทัย)

คนนำทัวร์ท้องถิ่นส่วนมากเป็นชาย แต่งกายด้วยชุดประจำชาติ
รถป้ายแดงทุกคัน
วัดคิชู (Kytchu Lhakhang)

วัดคิชู (Lhakhang-ลาคัง แปลว่า วัด) เป็นโบสถ์โบราณซึ่งพระเจ้าซองต์เซน กัมโป กษัตริย์ทิเบต ทรงสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 659 โบสถ์นี้เป็นโบสถ์หนึ่งในการสร้างโบสถ์ 108 แห่งภายใน 1 วัน ตามที่ทรงตั้งพระปณิธานเอาไว้ การสร้างโบสถ์เป็นการขจัดนางมารที่มีร่างกายใหญ่โตสามารถเหยียดแขนเหยียดขาออกไปครอบคลุมทั่วทั้งทิเบตและภูฏานได้ จุดที่พระเจ้าซองต์เซน กัมโปมาสร้างวัดในเมืองปาโรคือ พื้นที่ส่วนที่เท้าซ้ายของนางมารเหยียบอยู่
            วัดเคยถูกไฟไหม้และได้รับการบูรณะสร้างขึ้นใหม่ โดยอัญเชิญพระศากยมุนีเป็นพระประธานในโบสถ์ ต่อมาได้มีการก่อสร้างวัดเพิ่มเติมขึ้นอีกหลายครั้งหลายหน ล่าสุด สมเด็จพระราชชนนีได้ พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อการบูรณะวัดให้มีสภาพดีต่อไป และทรงสร้างรูปปั้นของท่านกูรูรินโปเช สูง 5 เมตร ไว้ที่วัดนี้ด้วย ท่านจะเสด็จมาทำบุญและภาวนาที่วัดนี้เป็นประจำ (ข้อมูลจาก - หนังสือคู่มือนักเดินทางฉบับพกพา "ภูฏาน" หนังสือในเครือเที่ยวรอบโลก)
ข้อห้าม: ภายในโบสถ์/วิหารของวัด ที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ห้ามถ่ายภาพทุกที่!!!


ภาวนาแม้ฝนจะตก
ประดับประดาด้วยผ้าหลากสี



อาคาร ณ เมืองพาโร
พักผ่อนสนทนา ริมระเบียง


รูปที่ีมีทุกบ้านของชาวภูฏาน

ประตูทางเข้าอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมืองพาโร (Bhutan National Museum : TA DZONG)
เดิมเป็นหอคอยสังเกตการณ์ สร้างในปี ค.ศ. 1651 และเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ. 1968 จัดแบ่งเป็นห้องๆ ผลงานที่จัดแสดงส่วนใหญ่เป็นงานที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ภาพพระบฏ หน้ากาก ตั้งแต่สมัยโบราณถึงปัจจุบัน งานหัตถกรรมที่ใช้ประจำวัน เครื่องแต่งกาย ชุดเกราะ สัตว์สต๊าฟ เป็นต้น
อาคารพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ (หลังเดิม)



พาโรซอง (Paro Dzong)
สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1646 เพื่อใช้เป็นป้อมป้องกันข้าศึก ปัจจุบันเป็นทั้งสถานที่ราชการและวัด จุดเด่นของสถาปัตยกรรมภายในคือ สร้างด้วยไม้ขนาดใหญ่เข้าลิ้น (ไม่มีตะปูแม้แต่ตัวเดียว)
ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางการบริหารกิจการสงฆ์ของเมืองพาโร มีพระสงฆ์จำวัดประมาณ 200 รูป
ท้าวจตุโลกบาล
วัฏสงสาร
สี่สหาย (ช้าง ลิง กระต่าย นก) เป็นภาพที่พบได้ทั่วไปในภูฏาน



สถาปัตยกรรมบริเวณ พาโรซอง
เมื่อเข้าวัด ชายชาวภูฏานจะต้องเพิ่มผ้าพาดตามจารีต...
นักท่องเที่ยวต้องแต่งกายสุภาพ งดสายเดี่ยว แขนกุด กางเกงขาสั้น กระโปรงสั้น งดหมวก งดร่ม
นักท่องเที่ยวชาวไทยตั้งใจหมุนกงล้อภาวนา (ตามเข็มนาฬิกาและตามคำแนะนำของมัคคุเทศก์ ^_^)

กงล้อภาวนาที่พบในทุกพุทธศาสนสถาน

เจ้าหน้าที่และเด็กนักเรียนชาวภูฏาน
ประทับใจความเข้มแข็งในวัฒนธรรมของชาวภูฏาน การแต่งกาย สถาปัตยกรรม ความเป็นธรรมชาติ อากาศสะอาดสดชื่น ต้นข้าวเต็มท้องนา น้ำใสสะอาดไหลเชี่ยว...เรียบง่าย...และแอปเปิ้ล (ปลูกกันเกือบทุกบ้าน พอๆ กับคนไทยปลูกกล้วย)

ขอส่งท้ายวันแรกด้วยวิถีชีวิตที่เรียบง่ายจริงๆ...
USE ME...ไม่ต้องใหญ่ไม่ต้องสวยมากไม่ต้องแพง
ทิ้งให้ลง...ก็สะอาด...เรียบร้อย
การทำนา ยังใช้แรงงานคน และ หุ่นไล่กา
ปลอดภัยทั้งคนปลูก คนกิน...
Please THAILAND

1 ความคิดเห็น: