วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2557

ภูฏาน: ดินแดนแห่งความสดชื่น ร่มรื่น เรียบง่าย และศรัทธา ตอนที่ 1

KOU SOU ZANG PO...BHUTAN...
วัดคิชู...พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ พาโร...พาโร ซอง...

ปลายเดือนสิงหาคม 2557 มีโอกาสเดินทางไปประเทศภูฏาน ประเทศในฝันมานานนับสิบปี (ด้วยความอุปถัมภ์ของเจ้าภาพผู้มีอุปการคุณ) ตั้งแต่มีโอกาสเห็นวัฒนธรรมและพุทธศาสนาในดินแดนอินเดีย เนปาล จีน เห็นการแต่งกายด้วยชุดสีแดงของลามะ
การกราบอัษฏางคประดิษฐ์ วงล้อมนต์ตรา Singing Bowl สร้อยประคำ และอุปกรณ์นานาชนิดที่พุทธศาสนิกชนใช้ในการภาวนา

ปีนี้เป็นปีครบรอบความสัมพันธ์ไทย-ภูฏาน 25 ปี เป็นโอกาสดีที่รัฐบาลภูฏาน สนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยวแก่ชาวไทย ย้ำ! เฉพาะชาวไทยเท่านั้น...แอบภูมิใจเล็กๆ ที่เกิดเป็นคนไทย...

สายการบินจากประเทศไทยไปภูฏาน คือ ดรุกแอร์ (Druke Air) ซึ่งเป็นสายการบินประจำชาติ และ สายการบินภูฏาน (Bhutan Airlines) บินจากประเทศไทยด้วยเวลาไล่เลี่ยกัน ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมง เวลาของภูฏานจะช้ากว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง โดยปกติจะแวะที่สนามบินในประเทศอินเดียประมาณ 30-60นาที เพื่อส่งผู้โดยสาร ที่กัลกัตตา ขาไป และขากลับ แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ลงจากเครื่องบิน  รายการทูไนท์โชว์ บอกว่าแต่ละเที่ยวบินจุผู้โดยสารได้ประมาณ 130 คน  (เท่าที่ดูด้วยสายตาน่าจะเกิน แต่ก็ไม่มาก) จึงทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่จะไปภูฏานนั้นจะถูกจำกัดด้วยความจุของเครื่องบินไปโดยปริยาย

21 สิงหาคม 2557 : วันแรก จากท่าอากาศยานนานาชาติ สุวรรณภูมิ เที่ยวบิน B3701 เหินฟ้าสู่ สนามบินนานาชาติ พาโร ประเทศภูฏาน (สำนวนเหมือนบริษัททัวร์มั้ยคะ) ออกเดินทางประมาณ 6.30 น. ถึง เวลาประมาณ 10.10 น. (เวลาท้องถิ่น)





พาหนะที่จะนำไปสู่ ภูฏาน เที่ยวบิน 3701




สิ่งแรกที่ทุกคนมองหา และทุกคนมองเห็น เมื่อลงจากเครื่องบิน



พระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก
และ สมเด็จพระราชินีเจตชุน เพมา วังชุก ณ สนามบินนานานชาติ พาโร
รถบรรทุกสัมภาระนักท่องเที่ยว เน้นประโยชน์ใช้สอยจริงๆ (คนขวาที่ถือกระเป๋าสีม่วง คือ คุณคาจิ เป็นเจ้าของบริษัท หิมาลายัน ทัวร์ เป็นชาวเนปาล มีบริษัทที่เนปาลและไทย มีภรรยาเป็นชาวสุโขทัย)

คนนำทัวร์ท้องถิ่นส่วนมากเป็นชาย แต่งกายด้วยชุดประจำชาติ
รถป้ายแดงทุกคัน
วัดคิชู (Kytchu Lhakhang)

วัดคิชู (Lhakhang-ลาคัง แปลว่า วัด) เป็นโบสถ์โบราณซึ่งพระเจ้าซองต์เซน กัมโป กษัตริย์ทิเบต ทรงสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 659 โบสถ์นี้เป็นโบสถ์หนึ่งในการสร้างโบสถ์ 108 แห่งภายใน 1 วัน ตามที่ทรงตั้งพระปณิธานเอาไว้ การสร้างโบสถ์เป็นการขจัดนางมารที่มีร่างกายใหญ่โตสามารถเหยียดแขนเหยียดขาออกไปครอบคลุมทั่วทั้งทิเบตและภูฏานได้ จุดที่พระเจ้าซองต์เซน กัมโปมาสร้างวัดในเมืองปาโรคือ พื้นที่ส่วนที่เท้าซ้ายของนางมารเหยียบอยู่
            วัดเคยถูกไฟไหม้และได้รับการบูรณะสร้างขึ้นใหม่ โดยอัญเชิญพระศากยมุนีเป็นพระประธานในโบสถ์ ต่อมาได้มีการก่อสร้างวัดเพิ่มเติมขึ้นอีกหลายครั้งหลายหน ล่าสุด สมเด็จพระราชชนนีได้ พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อการบูรณะวัดให้มีสภาพดีต่อไป และทรงสร้างรูปปั้นของท่านกูรูรินโปเช สูง 5 เมตร ไว้ที่วัดนี้ด้วย ท่านจะเสด็จมาทำบุญและภาวนาที่วัดนี้เป็นประจำ (ข้อมูลจาก - หนังสือคู่มือนักเดินทางฉบับพกพา "ภูฏาน" หนังสือในเครือเที่ยวรอบโลก)
ข้อห้าม: ภายในโบสถ์/วิหารของวัด ที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ห้ามถ่ายภาพทุกที่!!!


ภาวนาแม้ฝนจะตก
ประดับประดาด้วยผ้าหลากสี



อาคาร ณ เมืองพาโร
พักผ่อนสนทนา ริมระเบียง


รูปที่ีมีทุกบ้านของชาวภูฏาน

ประตูทางเข้าอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมืองพาโร (Bhutan National Museum : TA DZONG)
เดิมเป็นหอคอยสังเกตการณ์ สร้างในปี ค.ศ. 1651 และเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ. 1968 จัดแบ่งเป็นห้องๆ ผลงานที่จัดแสดงส่วนใหญ่เป็นงานที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ภาพพระบฏ หน้ากาก ตั้งแต่สมัยโบราณถึงปัจจุบัน งานหัตถกรรมที่ใช้ประจำวัน เครื่องแต่งกาย ชุดเกราะ สัตว์สต๊าฟ เป็นต้น
อาคารพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ (หลังเดิม)



พาโรซอง (Paro Dzong)
สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1646 เพื่อใช้เป็นป้อมป้องกันข้าศึก ปัจจุบันเป็นทั้งสถานที่ราชการและวัด จุดเด่นของสถาปัตยกรรมภายในคือ สร้างด้วยไม้ขนาดใหญ่เข้าลิ้น (ไม่มีตะปูแม้แต่ตัวเดียว)
ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางการบริหารกิจการสงฆ์ของเมืองพาโร มีพระสงฆ์จำวัดประมาณ 200 รูป
ท้าวจตุโลกบาล
วัฏสงสาร
สี่สหาย (ช้าง ลิง กระต่าย นก) เป็นภาพที่พบได้ทั่วไปในภูฏาน



สถาปัตยกรรมบริเวณ พาโรซอง
เมื่อเข้าวัด ชายชาวภูฏานจะต้องเพิ่มผ้าพาดตามจารีต...
นักท่องเที่ยวต้องแต่งกายสุภาพ งดสายเดี่ยว แขนกุด กางเกงขาสั้น กระโปรงสั้น งดหมวก งดร่ม
นักท่องเที่ยวชาวไทยตั้งใจหมุนกงล้อภาวนา (ตามเข็มนาฬิกาและตามคำแนะนำของมัคคุเทศก์ ^_^)

กงล้อภาวนาที่พบในทุกพุทธศาสนสถาน

เจ้าหน้าที่และเด็กนักเรียนชาวภูฏาน
ประทับใจความเข้มแข็งในวัฒนธรรมของชาวภูฏาน การแต่งกาย สถาปัตยกรรม ความเป็นธรรมชาติ อากาศสะอาดสดชื่น ต้นข้าวเต็มท้องนา น้ำใสสะอาดไหลเชี่ยว...เรียบง่าย...และแอปเปิ้ล (ปลูกกันเกือบทุกบ้าน พอๆ กับคนไทยปลูกกล้วย)

ขอส่งท้ายวันแรกด้วยวิถีชีวิตที่เรียบง่ายจริงๆ...
USE ME...ไม่ต้องใหญ่ไม่ต้องสวยมากไม่ต้องแพง
ทิ้งให้ลง...ก็สะอาด...เรียบร้อย
การทำนา ยังใช้แรงงานคน และ หุ่นไล่กา
ปลอดภัยทั้งคนปลูก คนกิน...
Please THAILAND

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

อาสาฬหบูชา : วันพระรัตนตรัย

โดย นางสาวบุญพิศ นัยน์พาณิช

๑.  บทนำ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในคืนวันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖  ภายหลังเรียกว่าวันวิสาขบูชา หลังจากพระพุทธองค์เสวยวิมุตติสุขเป็นเวลา ๔๙ วัน จึงเสด็จจาริกไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน (ปัจจุบันเรียก “สารนาถ”) แขวงเมืองพาราณสี เพื่อโปรดปัญจวัคคีย์ คือ ท่านโกณฑัญญะ ท่านวัปปะ ท่านภัททิยะ ท่านมหานามะ และท่านอัสสชิ  ผู้เคยปรนนิบัติพระองค์เมื่อครั้งบำเพ็ญทุกรกิริยา ณ ถ้ำดงคสิริ   จากพุทธคยาถึงสารนาถคำนวณด้วยระยะทางในปัจจุบันประมาณ ๒๕๐ กิโลเมตร นับจากวันสุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงเสวยวิมุตติสุขระยะเวลาประมาณ ๑๑ วัน  แต่ละวันพระพุทธองค์เสด็จดำเนินด้วยพระบาทระยะทางประมาณ ๒๓ กิโลเมตร  นับเป็นพระมหากรุณาที่มีต่อเวไนยสัตว์เป็นอย่างยิ่ง
ภาพแผนที่การเดินทางจากพุทธคยาไปยังสารนาถ ณ ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ แสดงโดย Google Map


เมื่อปัญจวัคคีย์เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาได้ตกลงกันว่าจะไม่ทำการต้อนรับ เพราะมีความเห็นว่าท่านได้ทรงละความเพียรในการกระทำทุกรกิริยาเพื่อแสวงหาโมกขธรรม กลับไปเสวยพระกระยาหารเป็นผู้มักมากในกามเสียแล้ว  แต่เมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาถึงทั้ง ๕ ต่างลืมข้อตกลงร่วมกันโดยสิ้นเชิง  ต่างลุกขึ้นต้อนรับปฏิบัติตามหน้าที่ที่ตนเคยทำ  หากแต่ยังคงแสดงวาจากระด้างกระเดื่อง พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสห้าม ตรัสเตือนใจ สรุปความว่า พระพุทธองค์ยืนยันการตรัสรู้และปัญจวัคคีย์พร้อมรับฟังธรรมเทศนา


๒.   ความหมายและความสำคัญของวันอาสาฬหบูชา
๒.๑  ความหมายของอาสาฬหบูชา
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน แสดงว่า “อาสาฬห-, อาสาฬห์  เดือนที่ ๘ แห่งเดือนจันทรคติ”[๑]
พระอุดรคณาธิการ (ชวินทร์ สระคำ) และ ศ. พิเศษ ดร. จำลอง สารพัดนึก แสดงว่า “อาสาฬฺห  ชื่อเดือน (ตกราวเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม)”[๒]
สุเชาวน์ พลอยชุม แสดงว่า อาสาฬหมาส เดือนกรกฎาคม. (นิต. ๑๓๒).  เดือน ๘. (วิ. ๑/๒๓๑)”[๓]
พระธรรมปิฎก ให้ความหมายไว้ดังนี้ “อาสาฬหบูชา “การบูชาในเดือน ๘” หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือน ๘ เพื่อรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นการพิเศษ เนื่องในวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ทำให้เกิดมีปฐมสาวก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ และเกิดสังฆรัตนะคำรบพระรัตนตรัย”[๔]
จากความหมายดังกล่าวข้างต้น พอสรุปได้ว่า วันอาสาฬหบูชา หมายถึง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ที่มีการบูชาเพื่อรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัยในพระพุทธศาสนา (ตรงกับเดือนกรกฎาคมในปีปฏิทินไทยและสากล)
๒.๒  ความสำคัญของวันอาสาฬหบูชา
๒.๒.๑  ปฐมเทศนา การประกาศศาสนาแห่งพุทธะครั้งแรกของโลก
หลังจากที่พระพุทธเจ้าประทับแรม ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวันหนึ่งคืน  รุ่งอรุณ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ทรงแสดงปฐมเทศนา (เทศนาครั้งแรก) แก่ปัญจวัคคีย์ ว่าด้วย ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร  “พระสูตรว่าด้วยการยังธรรมจักรให้เป็นไป”[๕]
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แสดงถึง การปฏิบัติที่ไม่พึงกระทำ ๒ ประการ ได้แก่ กามสุขัลลิกานุโยค หมายถึง การหาความเพลิดเพลินด้วยความสุขในกามทั้งหลาย และ อัตตกิลมถานุโยค หมายถึง การทรมานตนเองให้ลำบากด้วยอาการต่างๆ เพื่อบรรลุโมกขธรรม แล้วทรงแสดงทางที่ควรปฏิบัติ คือ มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง ได้แก่ อริยอัฏฐังคิกมรรค หมายถึง ทางมีองค์ ๘ ประการอันประเสริฐ ประกอบด้วย ๑. สัมมาทิฏฐิ การเห็นชอบด้วยปัญญา ๒. สัมมาสังกัปปะ การดำริชอบ ๓. สัมมาวาจา การเจรจาชอบ ๔. สัมมากัมมันตะ การทำการงานชอบ ๕. สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีวิตชอบ ๖. สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ ๗. สัมมาสติ การระลึกชอบ ๘. สัมมาสมาธิ การตั้งใจชอบ กล่าวโดยย่อ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
สุดท้ายทรงแสดงธรรมเทศนา อริยสัจ ๔ คือ ความจริงอันประเสริฐ ได้แก่ ๑. ทุกข์ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ หรือสภาพที่คงทนอยู่ไม่ได้  ๒. สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา  ๓. นิโรธ  ความดับทุกข์  ๔. มรรค ทางหรือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เป็นไปเพื่อหนทางแห่งที่สุดแห่งทุกข์ คือ พระนิพพาน
๒.๒.๒  พระปฐมสาวก บุคคลแรกที่เป็นพยานแห่งการตรัสรู้ของพระศาสดา
ขณะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนา ท่านโกณฑัญญะพิจารณาตาม จนเกิดธรรมจักษุ แปลว่า ดวงตาเห็นธรรม ได้บรรลุโลกุตรธรรม พระอรรถกถาจารย์ กล่าวว่าเป็นพระโสดาบัน[๖] ด้วยการรู้เห็นตามความจริงด้วยปัญญา ว่า “สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา”
พระพุทธองค์ทรงทราบว่า ธรรมจักษุเกิดแก่ท่านโกณฑัญญะแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานว่า “อญฺาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโ อญฺาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโ แปลว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอๆ[๗]  อัญญาจึงกลายเป็นคำนำหน้าชื่อท่านโกณฑัญญะตามพุทธอุทานนี้ว่า “อัญญาโกณฑัญญะ”  เมื่อเกิดธรรมจักษุแล้ว เกิดศรัทธามั่นคง ท่านจึงทูลขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงอนุญาตการบรรพชาอุปสมบทครั้งแรก ด้วยวิธี “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” ด้วยการทรงเปล่งวาจาว่า “จงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันตถาคตกล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด” ท่านอัญญาโกณฑัญญะ จึงเป็นปฐมสาวก และเป็นพระอัญญาโกณฑัญญะ ภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา  ถือได้ว่าเป็นวันแรกที่มีพระรัตนตรัยครบองค์ ๓ ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เกิดขึ้นในโลก หลังจากนั้นท่านภัททิยะ ท่านวัปปะ ท่านมหานามะ และท่านอัสสชิ ก็ได้บรรลุโสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผลเช่นกัน

๓. บทวิเคราะห์
๓.๑  ปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
ณ วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี  จัดว่าเป็นวันเปิดโลกทัศน์ใหม่แห่ง แนวทางการปฏิบัติตนเพื่อบรรลุมรรค ผล นิพพาน เป็นการปฏิวัติคำสอนและแนวทางการปฏิบัติตนเพื่อการทำที่สุดแห่งทุกข์  โดยการปฏิบัติตามแนวมัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง ซึ่งแตกต่างออกไปจากการปฏิบัติตนของลัทธิที่มีอยู่มากมายในชมพูทวีป ณ ห้วงเวลานั้น  ที่นิยมไปในการถึงที่สุด ๒ อย่าง คือ กามสุขัลลิกานุโยค คือ การประกอบตนให้หมกมุ่นอยู่ในกามสุข หมายถึง การหาความเพลิดเพลินด้วยความสุขในกามทั้งหลาย และอัตตกิลมถานุโยค คือ การประกอบตนให้ลำบากเปล่า คือ ความพยายามเพื่อบรรลุที่หมายด้วยวิธีการทรมานตนเองให้ลำบากด้วยอาการต่างๆ[๘] กามสุขัลลิกานุโยคนั้น พระพุทธองค์ทรงเน้นไปที่ลัทธิโลกายตะ หรือลัทธิวัตถุนิยมอินดีย ส่วนอัตตกิลมถานุโยค ทรงเน้นไปที่ลัทธิเชน (นิครนถ์) ของศาสดามหาวีระ หรือนิครนถนาฏบุตร[๙]
อริยสัจ ๔ เป็นเรื่องของทุกข์และการดับทุกข์ ทรงแสดงว่า ทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจคืออะไร หากเปรียบกับการรักษาโรคแล้ว คืออาการของโรคที่ปรากฏ เช่น นอนไม่หลับ จากนั้นแสดงสมุทัย เหตุแห่งทุกข์  เปรียบได้กับสมมติฐานของโรค คือ ความเครียด ความหิว การรับประทานอาหารที่มีสารกระตุ้น การออกกำลังกายก่อนเวลานอน เป็นต้น จากนั้นทรงแสดงนิโรธ ความดับทุกข์ เปรียบกับการแก้ไขการนอนหลับให้เป็นปกติเป็นไปได้หรือนอนหลับได้ง่ายขึ้น แล้วจึงแสดงมรรค หนทางหรือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เปรียบกับวิธีการปฏิบัติตนให้นอนหลับได้อย่างปกติ เช่น ลดความเครียด รับประทานอาหารให้พอเหมาะไม่ปล่อยให้หิว ไม่รับประทานอาหารที่มีสารกระตุ้น (เช่น คาเฟอีน) หรืองดการออกกำลังกายก่อนเข้านอน เป็นต้น
สรุปว่า พระพุทธองค์ทรงแสดงทุกข์ก่อน ว่าคืออะไร แล้วจึงแสดงเหตุของทุกข์ ทรงแสดงว่า ความดับทุกข์มีและเป็นอย่างไร แล้วจึงแสดงหนทางดับทุกข์ จะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายหรือแง่ดีแต่อย่างเดียว แต่ทรงมองเห็นปัญหา เหตุของปัญหา และทรงเห็นว่าปัญหาหมดไปได้ มีวิธีการแก้ไขได้ ซึ่งหนทางนี้เป็นหนทางแห่งการทำที่สุดแห่งทุกข์ คือ มรรค ผล นิพพาน มีเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
๓.๒  ปฐมสาวก พระอัญญาโกณฑัญญะ
การแสดงความจริงที่เกิดจากการรู้แจ้งด้วยญาณทัสสนะของมหาบุรุษผู้หนึ่งที่สั่งสมบุญบารมีมาอย่างยาวนาน  ทำให้ผู้พิจารณาตามเกิดดวงตาเห็นธรรมเป็นผลประจักษ์ คือ ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ซึ่งขณะนั้นเป็นนักบวชผู้แสวงหาโมกขธรรม ยังมิได้ออกบวชในพระศาสนาของพระศาสดา  แต่เมื่อพิจารณาธรรมแล้วท่านสามารถบรรลุความเป็นอริยชนชั้นต้น คือ โสดาบัน แล้วจึงขอทูลอุปสมบทต่อพระพุทธเจ้าเป็นท่านแรก จากนั้นธรรมจักษุเกิดแก่ท่านภัททิยะ ท่านมหานามะ ท่านวัปปะ และท่านอัสสชิ ในเวลาต่อมาเช่นกัน และในเวลาต่อมาเมื่อพระอริยสาวกได้ฟังอนัตตลักขณสูตร ทำให้เกิดพระอรหัตตสาวกขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก เป็นประจักษ์พยานบุคคลในการตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
ในเวลาต่อมายสกุลบุตร กุลบุตรของคหบดีในยุคพุทธกาล และสหาย ๕๔ คน ล้วนเกิดธรรมจักษุขณะเป็นคฤหัสถ์ทั้งสิ้น เมื่อเกิดศรัทธาปสาท แล้วจึงทูลขออุปสมบท และพระพุทธเจ้าทรงประทานการอุปสมบทด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทาเช่นกัน  หลังจากบรรลุอรหัตตผลแล้ว พระอรหันตสาวกทั้งหมดรวม ๖๐ รูป ได้ออกจาริกไปเพื่อเผยแผ่พระธรรมวินัย ตามที่พระพุทธองค์ทรงมีรับสั่งว่า
“ภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ แม้พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ พวกเธอจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ พวกเธออย่าได้ไปรวมทางเดียวกันสองรูป จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์ สัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลีในจักษุน้อย มีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรม จักมี ภิกษุทั้งหลาย แม้เราก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม.”[๑๐]
จัดว่าท่านเหล่านี้เป็นประจักษ์พยานบุคคลแห่งการตรัสรู้ของพระองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเป็นพระธรรมทูตแห่งพระพุทธศาสนารุ่นแรกของโลก อีกทั้งเป็นกำลังสำคัญในการทำให้พระพุทธศาสนาแผ่ขยายและสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน
นี้แสดงให้เห็นว่า พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงนั้น เป็นสัจธรรมที่สามารถทำให้ผู้รู้ตาม เห็นตาม ปฏิบัติตาม ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีสถานภาพทางสังคมในวรรณะใด สามารถบรรลุคุณธรรมถึงที่สุดแห่งทุกข์ตามคำสอนของพระองค์ได้จริง

๔. สรุป
วันอาสาฬบูชา เป็นวันที่มีเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนาหลายประการ ได้แก่
๑. เป็นวันแรกที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา
๒. เป็นวันแรกที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา ด้วย ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
๓. เป็นวันแรกของการเกิด พระอริยสงฆ์องค์แรก
๔. เป็นวันแรกที่เกิด “สังฆรัตนะ” พระรัตนตรัยครบบริบูรณ์

ดังนั้น วันอาสาฬหบูชา จึงเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนควรน้อมระลึกถึงคุณของ
พระรัตนตรัย ด้วยการทำบุญตามพุทธประเพณี การสวดสรรเสริญพระรัตนตรัย การทำบุญใส่บาตร การเวียนเทียน และการฟังธรรมเทศนา  รวมถึงการศึกษาพระธรรมวินัย และน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในธรรมสืบไป ถึงแม้จะไม่ปรารถนาจะบรรลุโลกุตรธรรม แต่คำสอนของพระพุทธองค์ในด้านโลกียธรรมก็มีอยู่มาก สมควรอย่างยิ่งที่จะศึกษาเพื่อพัฒนาตนให้เป็นประโยชน์แก่ตน สังคม และโลกต่อไป

๕. ข้อเสนอแนะ
สำหรับประเทศไทย เป็นประเทศแรกที่ประกาศให้มีพิธีอาสาฬหบูชา เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๐๑ โดยพระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี) ครั้งดำรงตำแหน่งสังฆมนตรีว่าการองค์การศึกษา ได้เสนอคณะสังฆมนตรีให้เพิ่มวันศาสนพิธีทำพุทธบูชาขึ้นอีกหนึ่งวัน คือ วันธรรมจักรหรือวันอาสาฬหบูชา คณะสังฆมนตรีมีมติเห็นชอบ โดยให้ถือว่าวันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของพระพุทธศาสนา และทางรัฐบาลก็ได้เห็นความสำคัญ จึงได้ประกาศให้เป็นวันหยุดราชการมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้[๑๑]
๕.๑ ควรส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของวันอาสาฬหบูชา และพระธรรมที่เกี่ยวข้องมากขึ้น
๕.๒  ควรเสนอแนะแนวทางในการนำพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พุทธศาสนิกชนทั้งในประโยชน์ตนและประโยชน์ส่วนรวม

บรรณานุกรม
พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย :
มหามกุฏราชวิทยาลัย, มูลนิธิ. พระไตรปิฎกและอรรถกถา แปล เล่ม ๖, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖.
พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต).  พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์.  พิมพ์ครั้งที่ ๒๑.  กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ผลิธัมม์, ๒๕๕๖.
พระอุดรคณาธิการ (ชวินทร์ สระคำ) และ จำลอง สารพัดนึก, ดร., ศ. พิเศษ.  พจนานุกรม บาลี-ไทย สำหรับนักศึกษา ฉบับปรับปรุงใหม่.  พิมพ์ครั้งที่ ๖.  กรุงเทพมหานคร : บริษัท ธรรมสาร จำกัด, ๒๕๕๒.
ราชบัณฑิตยสถาน.  พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔.  พิมพ์ครั้งที่ ๒.  กรุงเทพมหานคร : บริษัท นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ จำกัด, ๒๕๕๖.
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ, กระทรวงวัฒนธรรม. วันอาสาฬหบูชา แนวทางการปฏิบัติสำหรับพุทธศาสนิกชน.  กรุงเทพมหานคร : การศาสนา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, ๒๕๔๗.
สุเชาวน์ พลอยชุม.  สารานุกรมพระพุทธศาสนา ประมวลจากพระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวิโรรส.  พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์, ๒๕๓๙.
เสถียรพงษ์ วรรณปก, ศ. พิเศษ.  “วันอาสาฬหบูชา (สังฆาภิลักขิตสมัย)”, ยุวพุทธสัมพันธ์. ฉบับที่ ๕๕ (สิงหาคม-ตุลาคม ๒๕๔๘) : ๑๖.
เสถียรพงษ์ วรรณปก, ศ. พิเศษ.ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (๓) ช่วงแห่งการแสวงหา”, ยุวพุทธสัมพันธ์, ฉบับที่ ๖๗ (สิงหาคม-ตุลาคม ๒๕๕๑) : ๑๗.





[๑]  ราชบัณฑิตยสถาน,  พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔,  พิมพ์ครั้งที่ ๒,  (กรุงเทพมหานคร : บริษัท นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ จำกัด, ๒๕๕๖), หน้า ๑๔๑๑.
[๒]  พระอุดรคณาธิการ (ชวินทร์ สระคำ) และ ศ. พิเศษ ดร. จำลอง สารพัดนึก,  พจนานุกรม บาลี-ไทย สำหรับนักศึกษา ฉบับปรับปรุงใหม่,  พิมพ์ครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท ธรรมสาร จำกัด, ๒๕๕๒), หน้า ๙๒.
[๓]  สุเชาวน์ พลอยชุม,  สารานุกรมพระพุทธศาสนา ประมวลจากพระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวิโรรส,  พิมพ์ครั้งที่ ๒(กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์, ๒๕๓๙), หน้า ๖๘๒.
[๔]  พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต),  พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์,  พิมพ์ครั้งที่ ๒๑,  (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ผลิธัมม์, ๒๕๕๖),  หน้า ๕๕๔.
[๕]  เรื่องเดียวกันหน้า ๑๕๐.
[๖] สุเชาวน์ พลอยชุม,  สารานุกรมพระพุทธศาสนา ประมวลจากพระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวิโรรส,  อ้างแล้วหน้า ๒๗๙.
[๗]  เรื่องเดียวกัน.
[๘] ศาสตราจารย์พิเศษ เสถียรพงษ์ วรรณปก,  “วันอาสาฬหบูชา (สังฆาภิลักขิตสมัย)”,
ยุวพุทธสัมพันธ์
, ฉบับที่ ๕๕ (สิงหาคม-ตุลาคม ๒๕๔๘) : ๑๖.
[๙]  ศาสตราจารย์พิเศษ เสถียรพงษ์ วรรณปก, “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (๓) ช่วงแห่งการแสวงหา”, ยุวพุทธสัมพันธ์, ฉบับที่ ๖๗ (สิงหาคม-ตุลาคม ๒๕๕๑) : ๑๗.
[๑๐]  วิ. มหา. ๖/๓๒/๓๘.
[๑๑]   สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ, กระทรวงวัฒนธรรม, วันอาสาฬหบูชา แนวทางการปฏิบัติสำหรับพุทธศาสนิกชน(กรุงเทพมหานคร : การศาสนา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, ๒๕๔๗)หน้า ๑-๒.